中国的第一位皇帝 — 秦始皇
วันอังคารที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2553 www.jiewfudao.com
แคว้นจิ๋นหรือแคว้นฉิน( 秦 ) เพิ่งได้รับการมอบที่ดินและตั้งเป็นแคว้นจิ๋นเมื่อปี 770 ก่อนคริสต์ศักราช โดยตั้งอยู่ทางตะวันตกของจีน ในขณะนั้นแคว้นจิ๋นมีอาณาเขตน้อย อำนาจแห่งแคว้นไม่เข้มแข็ง เพราะฉะนั้นจึงถูกบรรดาผู้ครองแคว้นบริเวณที่ราบตอนกลางดูถูกเรื่อยมา ทว่าตั้งแต่ได้ดำเนินการปฏิรูป ซังยัง( 商鞅 ) เป็นต้นมา อำนาจแห่งแคว้นก็เริ่มเข้มแข็งขึ้น และได้ก้าวขึ้นเป็น แคว้นที่ยิ่งใหญ่ในเจ็ดแคว้นแห่งยุคจั้นกั๋ว( 占国七雄中的强国 ) อย่างรวดเร็ว เมื่อพระเจ้า อิ๋งเจิ้ง( 赢政 ) ได้ขึ้นปกครองแคว้น ก็ได้เปิดศึกสงครามขนาดใหญ่ พระเจ้าอิ๋งเจิ้งได้ทรงเริ่มทำสงครามกับแคว้นอื่น ๆ ตั้งแต่ปี 230 ก่อนคริสต์ศักราช ภายในระยะเวลา 10 ปี พระองค์ได้ทรงปราบ แคว้นหาน( 韩 ) แคว้นจ้าว( 赵 ) แคว้นเว่ย( 魏 ) แคว้นฉู่( 楚 ) เคว้นเยียน( 燕 ) และแคว้นฉี( 齐 ) และในปี 221 ก่อนคริสต์ศักราชก็ได้ทรงรวมหกแคว้นนี้ให้เป็น 1 เดียว
พระเจ้าอิ๋งเจิ้งทรงหวังว่าอำนาจการปกครองของจิ๋นจะสามารถคงอยู่ตลอดไป จึงได้ขนานนามตนเองว่า “ปฐมจักรพรรดิ (始皇帝) ” ผู้ที่จะมาสืบต่อตำแหน่งก็จะขนานนามว่า รัชกาลที่ 2( 二世 ) รัชกาลที่ 3( 三世 ) จนกระทั้งรัชกาลที่พันที่หมื่น ดังนั้นในทางประวัติศาสตร์จึงขนานนามพระเจ้าอิ๋งเจิ้งว่า “จิ๋นซีฮ่องเต้( 秦始皇 )” (ปฐมจักรพรรดิแห่งราชวงศ์จิ๋น) (ปี 259 ก่อนคริสต์ศักราช – ปี 210 ก่อนปีคริสต์ศักราช)
หลังจากที่จิ๋นซีฮ่องเต้ทรงรวมจีนเป็นหนึ่งเดียวแล้ว พระองค์ก็ได้ทรงดำเนินนโยบายจำนวนมากในการทำให้ประเทศชาติมั่นคงและเป็นหนึ่งเดียวกัน สำหรับส่วนกลางได้มีการจัดตั้งขุนนางตำแหน่งต่าง ๆ เช่น เฉิงเซี่ยง( 丞相 ) ยวี่สื่อต้าฟู( 御史大夫 ) และไท่เว่ย( 太尉 ) ฯลฯ เฉิงเซี่ยง มีหน้าที่ช่วยเหลือพระมหากษัตริย์บริหารประเทศ ยวี่สื่อต้าฟูรับผิดชอบตรวจสอบบรรดาขุนนางทุกระดับ ไท่เว่ยดูแลการทหาร โดยพระมหากษัตริย์เป็นผู้มีพระราชอำนาจแต่งตั้งและยกเลิกตำแหน่งขุนนางเหล่านี้ ในส่วนของรัฐบาลท้องถิ่น ได้ยกเลิกระบอบแบ่งที่ดินซึ้งใช้กันมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ ซัง( 商 ) และราชวงศ์ โจว( 周 ) แต่ใช้ระบอบปกครองตาม “จวิ้น( 郡 )”(จังหวัด) “เสี้ยน( 县 )”(อำเภอ) แทน กล่าวคือ ทั้งประเทศแบ่งออกเป็น 36 จังหวัด (ต่อมาเพิ่มขึ้นเป็น 40 กว่าจังหวัด) รองจากจังหวัดก็เป็นอำเภอ มีขุนนางปกครองดูแลชาวบ้านเรียกว่า “จุ้นโส่ว( 郡守 )” (ผู้ว่าราชการจังหวัด) “เสี้ยนลิ่ง( 县令 )” (นายอำเภอ) พระมหากษัตริย์เป็นผู้มีพระราชอำนาจแต่งตั้งและยกเลิกตำแหน่งดังกล่าวเช่นกัน เมื่อเป็นเช่นนี้ อำนาจการปกครองทั้งประเทศจึงตกอยู่ในมือของพระมหากษัตริย์แต่เพียงผู้เดียว หลังจากที่จิ๋นซีฮ่องเต้รวมจีนเป็นหนึ่ง พระองค์ได้ทรงบังคับใช้กฎหมายของแคว้นจิ๋นที่มีอยู่เดิมกับทุกพื้นที่ทั้งประเทศ ทำให้ กฎหมาย( 法律 ) ของทั้งประเทศรวมเป็นหนึ่งเดียวกับกฎหมายของแคว้นจิ๋นในยุคจั้นกั๋ว ระบบมาตร การชั่งวัดตวง( 度量衡 ) ให้เหมือนกันทั้งประเทศ ไม่ว่าจะเป็น การวัด( 长度 ) การตวง( 容量 ) การชั่ง( 重量 ) ล้วนมีมาตรฐานเดียวกัน ทำให้เศรษฐกิจเจริญก้าวหน้า ราชวงศ์จิ๋นยังออกบัญญัติ ใช้เงินตราสกุลเดียวกัน( 统一货币 ) รัฐบาลจิ๋นได้ประกาศให้ใช้เงินของแคว้นจิ๋น ซึ่งมีรูปร่างเป็นวงกลมและมีรูปสี่เหลี่ยมตรงกลางเป็นเงินของประเทศ นโยบายนี้เป็นประโยชน์อย่างมากต่อการแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจของชนชาติต่าง ๆ ทั่วประเทศและในสมัยราชวงศ์ต่อ ๆ มา ก็ล้วนใช้ เงินทองสัมฤทธิ์( 铜钱 ) ตามแบบอย่างของราชวงศ์จิ๋นทั้งสิ้น
ตัวอย่างเงินทองสัมฤทธิ์สมัยราชวงศ์จิ๋น
จิ๋นซีฮ่องเต้ยังทรงประกาศให้ปรับตัวอักษรจีนให้เป็นแบบเดียวกัน( 统一文字 ) ทั้งประเทศ ยึดเอาตัวอักษรแบบ “เสี่ยวจ้วน( 小篆 )” ซึ่งได้ผ่านการย่อมาแล้วให้เป็นแบบอักษรมาตรฐานใช้ทั่วประเทศ ต่อมาก็มีแบบอักษรที่เขียนง่ายกว่าเสี่ยวจ้วนเกิดขึ้นอีก เรียกว่า “ลี่ซู ( 隶书 )” สำหรับแบบตัวอักษร “ไข่ซู( 楷书 )” (ตัวอักษรมาตรฐาน) ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันนั้น ก็ได้พัฒนามาจากลี่ซูนี้เอง การปรับตัวอักษรจีนให้เป็นแบบเดียวกันทั้งประเทศนั้นได้เร่งให้เกิดการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมมากยิ่งขึ้น
ตัวอักษรแบบ “เสี่ยวจ้วน( 小篆 )”
แบบอักษร
“ลี่ซู ( 隶书 )”
แบบตัวอักษร “ไข่ซู( 楷书 )”
ในปี 213 ก่อนคริสต์ศักราช อัครมหาเสนาบดีหลี่ซือ( 李斯 ) คิดว่าเมื่อชาวบ้านได้อ่านหนังสือเก่า ๆ แล้ว ก็จะใช้ความคิดต่าง ๆ ในหนังสือมาวิจารณ์เหตุการณ์ในขณะนั้นได้ ซึ่งจะทำให้เกิดอุปสรรคต่อการปกครองของราชสำนัก เขาจึงเสนอหนังสือที่ชาวบ้านจะเก็บไว้ได้ คือ หนังสือด้าน การแพทย์และยา( 医药 ) หนังสือด้าน การป่าไม้และเกษตร( 种植 ) ฯลฯ นอกเหนือจากหนังสือประเภทดังกล่าวนี้ โดยเฉพาะหนังสือประวัติศาสตร์ของแคว้นต่าง ๆ และหนังสือของปราชญ์เมธี จำเป็นต้องนำไปเผาทิ้งทั้งหมด จิ๋นซีฮ่องเต้ทรงดำเนินการตามข้อเสนอของเขา ในปีต่อมา ปัญญาชนบางคนได้วิจารณ์กันอย่างลับ ๆ เกี่ยวกับการกระทำอันไม่สมเหตุสมผลของจิ๋นซีฮ่องเต้ เมื่อทรงทราบดังนั้น จิ๋นซีฮ่องเต้จึงได้ทรงรับสั่งตามจับปัญญาชนพวกนั้น ซึ่งภายหลังจับมาได้ 460 กว่าคน ในที่สุดก็ได้ลงโทษโดยการฝั่งทั้งเป็น เหตุการณ์ทั้งสองเรื่องนี้ ทางประวัติศาสตร์เรียกว่า “เผาหนังสือ ฝังปัญญาชน( 焚书坑儒 )”
อัครมหาเสนาบดี หลี่ซือ( 李斯 )
จิ๋นซีฮ่องเต้ ทรงส่งเหมิงเถียน( 蒙恬 ) นำกองทัพไปปราบชนชาติ ซงหนู( 匈奴 ) นอกจากนี้พระองค์ยังทรงออกคำสั่งให้สร้าง กำแพงเมืองจีน( 长城 ) เพื่อป้องกันชนชาติซงหนูกลับมาโจมตีชายแดนอีกรอบ และทำให้ ชนชาติเย่ว์( 越族 ) ในตอนใต้ยอมอยู่ภายใต้การปกครองของจิ๋น ซึ่งส่งผลให้การไปมาหาสู่ระหว่างชนชาติขยายขอบเขตมากขึ้น
เหมิงเถียน( 蒙恬 )
การที่จิ๋นซีฮ่องเต้ ได้รวมจีนเป็นหนึ่ง ทำให้ภาวการณ์แย่งอำนาจของบรรดาผู้ครองแคว้นซึ่งกินเวลามายาวนานได้สิ้นสุดลง และยังสถาปนาประเทศจีนซึ่งเป็นสังคมศักดินาและมีหลากหลายชนชาติรวมกันเป็นหนึ่งเดียวได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์จีน ดินแดนของอาณาจักรสมัยราชวงศ์จิ๋นกินพื้นที่ ทางตะวันออกไปถึงทะเล ทางตะวันตกไปถึงฝั่งตะวันตกของมณฑลกานซู ทางเหนือไปถึงบริเวณกำแพงเมืองจีน และทางใต้ไปถึงทะเลใต้ มีประชากรทั้งสิ้นกว่า 20 ล้านคน
อ้างอิงจาก
* หนังสือ “ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับ ประวัติศาสตร์ประเทศจีน ( 中国历史常识 )” – The Overseas Chinese Affairs Office of the State Council / The Office of Chinese Language Council International. – สำนักพิมพ์สุขภาพใจ
* http://ent.sina.com.cn/j/2008-06-26/11082076298.shtml
* http://space.tv.cctv.com/act/article.jsp?articleId=ARTI1238507570535321&nowpage=12
* http://ahstbzp.blog.163.com/blog/static/25954084201002010493541/* http://www.2sd.cn/ls.htm
* http://big5.china.com/gate/big5/military.china.com/zh_cn/dljl/qinchao/01/11044447/20090707/15551414.html
* http://www.21qxxb.com/Content/
* http://item.taobao.com/auction/item_detail-0db2-f1b1f27945d4d86872c766b286f62949.htm