ReadyPlanet.com
dot dot
dot
สนใจเลี้ยงข้าว Jiewfudao
dot
bulletเลี้ยงข้าวพี่จิ๋ว คลิ้กนี้เลย
dot
สั่งซื้อหนังสือเรียนภาษาจีน jiewfudao
dot
bulletหนังสือเรียนภาษาจีนพื้นฐาน 1
bulletหนังสือเรียนภาษาจีนพื้นฐาน 2
bulletหนังสือเรียนภาษาจีนพื้นฐาน 3
bulletหนังสือเรียนภาษาจีนพื้นฐาน 4
bulletหนังสือเรียนภาษาจีนพื้นฐาน 5
bulletหนังสือภาษาจีนเพื่อการค้าสำหรับหน้าร้าน
bulletหนังสือ 200 ประโยคภาษาจีนในชีวิตประจำวัน
bulletแบบฝึกเขียนอักษรด้วยพู่กันจีน (书法)
bulletสมุดคัดคำศัพท์ภาษาจีน
bulletขั้นตอนการสั่งซือหนังสือ
dot
教你如何跟jiewfudao.com自学:แนะนำมือใหม่หัดเรียนภาษาจีนออนไลน์กับเว็บพี่จิ๋ว
dot
bulletคลิ๊กนี้ สำหรับน้องใหม่
dot
คลิปสอนภาษาจีนของ jiewfudao
dot
bulletภาษาจีนพื้นฐาน 1
bulletภาษาจีนพื้นฐาน 2
bulletภาษาจีนพื้นฐาน 3
bulletภาษาจีนพื้นฐาน 4
bulletภาษาจีนพื้นฐาน 5
bulletภาษาจีนเพื่อการค้าสำหรับหน้าร้าน
dot
ภาษาจีนสำหรับทางการแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์
dot
bulletอวัยวะมนุษย์ในภาษาจีน 人体器官
bulletกายวิภาคศาสตร์ 解剖学
bulletโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ในภาษาจีน 人体疾病中文词汇
dot
各种专业词汇:คำศัพท์เฉพาะประเภทต่าง ๆ
dot
bullet汉语成语:สุภาษิตจีน A-Z
bullet人与家庭词汇:หมวดมนุษย์และชีวิตในครอบครัว
bullet社会与文化词汇:หมวดสังคมและวัฒนธรรม
bullet饮食词汇 :หมวดอาหารและเครื่องดื่ม
bullet贸易专业词汇:หมวดคำศัพท์เฉพาะทางธุรกิจ
bullet其他词汇:หมวดคำศัพท์เฉพาะอื่น ๆ
dot
中国吉祥象征108 สิ่งมิ่งมงคลจีน โดย อ.ปิยะแสง จันทรวงศ์ไพศาล
dot
bulletเทพเจ้าสัญลักษณ์มงคล
bulletเครื่องหมายและเครื่องใช้มงคล
bulletอักษรมงคล
bulletสถาปัตยกรรมมงคล
bulletต้นไม้และดอกไม้มงคล
dot
เนื้อหาอื่น ๆ ที่มีประโยชน์
dot
bullet中文常用句子:ประโยคภาษาจีนที่ใช้บ่อยในวิชาชีพและสถานการณ์
bullet中国历史:ประวัติศาสตร์จีน
bullet中国文化วัฒนธรรมจีน
bullet中国地理ภูมิศาสตร์จีน
bullet准备祭祀食物及金纸:จัดโต๊ะไหว้-พับกระดา
bullet中国结:เรียนถักเชือกจีนกับ..พี่อั้ม
bullet中医(泰) แพทย์แผนจีนและสุขภาพ(บทความภาษาไทย)
bullet中国节日:ประเพณีและเทศกาลจีน
bullet中国古代服饰与发式:ทรงผมจีนโบราณ
bullet中文求职: ภาษาจีนสำหรับการสมัครงาน
dot
好内容与网站:เว็บไซด์ที่มีประโยชน์
dot
bullet华侨崇圣大学:มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ
bulletเรียนภาษาจีนธุรกิจผ่านเเล็กเชอร์กับ น้องตั๊ก
bullet笔顺 ลำดับขีด
bullet中英词典与翻译:พจนานุกรม / แปลภาษา
bullet中医(中)แพทย์แผนจีน(ภาษาจีน)
bullet画画儿:หัดวาดภาพจีน
bullet游戏:เล่นเกมจีน-จีน
dot
โฆษณาสนับสนุน jiewfudao.com
dot
bulletK79 รับแลกเงินเรทดีกว่าธนาคาร
bulletบริการรับส่งสินค้าด้วยรถสิบล้อ
bulletรับแลกเปลี่ยน โอนเงินตราทุกสกุล


หนังสือ jiewfudao
http://www.k79exchange.com/


汉语标点符号:เครื่องหมายวรรคตอน


หน้าที่ของเครื่องหมายวรรคตอน 标点符号 article

标点符号

          เครื่องหมายวรรคตอนถือเป็นส่วนประกอบสำคัญในภาษาจีน มีหน้าที่ช่วยให้เข้าใจโครงสร้าง มาลา และความหมายของประโยคได้ดีขึ้น เครื่องหมายวรรคตอนแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ วรรคตอนและเครื่องหมาย

          วรรคตอนประกอบด้วยเครื่องหมายต่าง ๆ  8 ชนิด

1.    เครื่องหมายอัญประกาศทั้งคู่และเดี่ยว (引号)

2.    เครื่องหมายนขลิขิต (括号)

3.    เครื่องหมายไข่ปลา (省略号)

4.    เครื่องหมายเส้นคั่นยาว (破折号)

5.    เครื่องหมายเชื่อมต่อ (连接号)

6.    เครื่องหมายชื่อหนังสือ (书名号)

7.    เครื่องหมายคั่น (间隔号)

8.    เครื่องหมายเน้นข้อความ (着重号)

 

ส่วนเครื่องหมาย มีด้วยกันทั้งสิ้น 7 ชนิด คือ

1.    มหัพภาคหรือจุดจบประโยค (句号)

2.    จุลภาคหรือจุดลูกน้ำ (逗号)

3.    จุดคั่น (顿号)

4.    อัฒภาค (分号)

5.    จุดคู่ (冒号)

6.    อัศเจรีย์ (惊叹号)

7.    อุทาน (感叹号)

 

รวมทั้งสิ้น 15 ชนิด แต่จะขอพูดถึงแค่ 12 ชนิดเท่านั้น และก่อนจะพูดถึงรายละเอียดของเครื่องหมายวรรคตอนต่าง ๆ ขอทำความเข้าใจในเรื่องหน้าที่โดยรวมของเครื่องหมายวรรคตอนสักเล็กน้อย

 

๑.    เครื่องหมายวรรคตอนกับเครื่องหมายของประโยค

 

ในสมัยโบราณ คนจีนเขียนหนังสือโดยไม่ใช้เครื่องหมายวรรคตอนเลย ทำให้หนังสือโบราณเป็นหนังสือที่อ่านยาก เพราะไม่รู้ว่าจะแบ่งคั่นประโยคตรงไหนอย่างไร เพื่อให้เข้าใจจึงจำเป็นต้องชำระเนื้อหาในหนังสือด้วยการตัดแบ่งประโยคด้วยเครื่องหมายวรรคตอนต่าง ๆ ให้เหมาะสม และอ่านเข้าใจได้แต่ก็ทำให้การศึกษาหนังสือโบราณของจีนมีข้อโต้แย้งหรือเข้าใจผิดได้ เนื่องจากการคั่นแบ่งข้อความที่ต่างกันนี่เอง

แต่การเรียนภาษาในปัจจุบัน ได้กำหนดให้ผู้เรียนต้องรู้จักใช้เครื่องหมายวรรคตอนต่าง ๆ อย่างถูกต้อง จะได้เขียนสื่อสารกันให้ตรงความหมาย ส่วนผู้อ่านก็สามารถเข้าใจเนื้อหาของข้อความอย่างถูกต้องตามความหมายของผู้เขียน ดังนั้น การใช้เครื่องหมายวรรคตอนต่าง ๆ ให้ถูกต้อง จึงมีความสำคัญไม่ยิ่งหยอนไปกว่าการใช้อักษรหรือคำ

ถ้าเราพูดคุยกันโดยไม่มีจังหวะเว้นวรรค หรือไม่มีการใช้น้ำเสียงเน้นความหมาย คนฟังก็อาจจะฟังไม่เข้าใจหรือเข้าใจความหมายผิดไปได้ เช่น

 

大家都关切地问他发生了什么事。

dà jiā dōu guānqiè de wèn tā fāshēng le shénme shì.

ความหมายตามรูปประโยคก็คงได้ แต่เอาเข้าจริง ก็ไม่รู้ว่าผู้พูดต้องการสื่ออะไรกันแน่ เพราะไม่มีการให้วรรคตอนและน้ำเสียงเน้นความหมายซึ่งอาจทำให้เข้าใจแตกต่างกันไป คือ

 

大家都关切地问:“他发生了什么事?”

dà jiā dōu guānqiè de wèn : “tā fāshēng le shénme shì?”

ทุกคนถามด้วยความห่วงใยว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเค้า”

 

 

大家都关切地问他:“发生了什么事?”

dà jiā dōu guānqiè de wèn tā : “ fāshēng le shénme shì?”

ทุกคนถามเค้าด้วยความห่วงใยว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น”

 

ในประโยคแรก จะตีความหมายได้ว่ามีเหตุบางอย่างเกิดขึ้นกับ “เค้า” ในขณะที่ประโยคที่สองกลับไม่รู้แน่ชัดว่าเกิดเหตุขึ้นกับใคร ดังนั้น เป้าหมายที่ถูกถามถึง จึงแตกต่างกัน

เพราะฉะนั้น เวลาพูดเราจึงต้องเว้นจังหวะให้เหมาะสม เพื่อสื่อสารเนื้อหาให้ถูกต้องตามความประสงค์ หรือให้น้ำเสียงเพื่อบอกถึงจุดประสงค์ในการสื่อสาร สิ่งเหล่านี้พอมาอยู่ในภาษาเขียน ก็ต้องใช้เครื่องหมายวรรคตอนต่าง ๆ ช่วย

 

๒.    เครื่องหมายวรรคตอนกับมาลาในประโยค

 

ประโยคทุกประโยคต้องมีมาลา และการใช้เครื่องหมายวรรคตอนต่าง ๆ ก็ต้องสัมพันธ์กับมาลาในประโยคด้วย มาลาในประโยคต่างกัน จะใช้เครื่องหมายวรรคตอนต่างกัน ในภาษาพูด เราจะใช้น้ำเสียงแสดงถึงมาลาประโยคที่ต่างกัน เช่น เมื่อเป็นการถาม จะเน้นเสียงสูงที่ท้ายประโยค เมื่อเป็นการสั่ง ก็จะเลือกใช้น้ำเสียงห้วนสั้นกระชับ ฯลฯ

แต่ในภาษาเขียน เครื่องหมายวรรคตอนที่อยู่ท้ายประโยค แสดงให้รู้ว่าข้อความข้างหน้าเป็นข้อความเดียวกัน เช่น เครื่องหมายมหัพภาค (句号)  เครื่องหมายปรัศนี (问号) เครื่องหมายอัศเจรีย์ (惊叹号)ฯลฯ เครื่องหมายเหล่านี้ใช้กับมาลาในประโยคที่ต่างกัน เช่น เครื่องหมายมหัพภาคใช้ในประโยคบอกเล่า เครื่องหมายปรัศนีใช้ในประโยคคำถาม  เครื่องหมายอัศเจรีย์ใช้ในประโยคอุทาน สำหรับประโยคคำสั่ง ก็จะเลือกใช้จุดมหัพภาคหรืออัศเจรีย์ตามแต่ว่าจะสั่ง เตือน ขอร้อง หรือห้ามปราม ฯลฯ

ถ้าเราใช้เครื่องหมายวรรคตอนไม่เหมาะสม ก็อาจทำให้มาลาในประโยคนั้น ๆ เปลี่ยนไป และไม่ตรงกับความหมายที่ต้องการสื่อ เช่น “不要啰嗦。 กับ “不要啰嗦! (Bu yao luo suo อย่าพูดจุกจิกจู้จี้) สองประโยคนี้เป็นประโยคคำสั่งเหมือนกัน แต่ใช้เครื่องหมายวรรคตอนไม่เหมือนกัน ซึ่งทำให้มาลาในประโยคต่างกันไปด้วย ประโยคแรกใช้เครื่องหมายมหัพภาค สื่อความหมายในเชิงตักเตือนห้ามปราม ส่วนประโยคหลังใช้เครื่องหมายอัศเจรีย์ ให้น้ำเสียงเป็นการสั่งห้าม และต่อไปนี้คือตัวอย่างประโยคที่ใช้เครื่องหมายต่างกันแล้วทำให้มาลาในประโยคต่างกัน เช่น

 

他来了。                เค้ามาแล้ว (มาลาบอกเล่า)

他来了?                เค้ามาแล้ว? (มาลาปรัศนี)

 

抓住他!                จับเค้าไว้ (มาลาคำสั่ง)

抓住他?                จับเค้าไว้? (มาลาคำปรัศนี)

 

我们胜利了。          เราชนะแล้ว (มาลาบอกเล่า)

我们胜利了?          เราชนะแล้ว(มาลาคำปรัศนี)

我们胜利了!          เราชนะแล้ว(มาลาคำสั่ง)

 

อ้างอิงจาก    หนังสือ “หลักไวยากรณ์จีน ฉบับศึกษาด้วยตนเอง”-อดุลย์ รัตนมั่นเกษม

 

 

เตรื่องหมายเน้นข้อความ เครื่องหมายชื่อหนังสือ และเครื่องหมายคั่น (着重号、书名号、间隔号) article

เครื่องหมายเน้นข้อความ

          เครื่องหมายเน้นข้อความ (. ) เป็นเครื่องหมายจุดที่ใช้เพื่อเน้นให้รู้ข้อความสำคัญ ในกรณีที่เขียนตามแนวตั้ง ให้ใส่จุดไว้ข้างซ้ายของตัวอักษรที่ต้องการเน้นตัวละหนึ่งจุด ส่วนในกรณีเขียนตามแนวนอน ให้ใส่จุดไว้ใต้อักษรที่ต้องการเน้นตัวละหนึ่งจุดเช่นกัน

 

          เครื่องหมายชื่อหนังสือ

          เครื่องหมายชื่อหนังสือ ( ) ใช้เพื่อบอกให้รู้ว่าเป็นชื่อหนังสือหรือชื่อบท บางครั้งอาจมีชื่อหนังสือหรือชื่อบทซ้ำซ้อนทับกันอยู่ ก็ให้ใช้เครื่องหมาย <> นี้ สำหรับชื่อหนังสือหรือชื่อบทที่มาซ้อนทับอันหลัง ตัวอย่างเช่น

          他昨天买回来了一部《史记》。

          เมื่อวานเขาซื้อหนังสือเรื่อง สื่อจี้ มาชุดหนึ่ง

          鲁迅的《二心集》里有一篇《<野草>英文译本序》。

          ในเรื่อง “เอ้อซินจี๋” ของหลูซิ่น มีบทนำฉบับแปลภาษาอังกฤษของเรื่อง “เย่ฮ่าว”ด้วย

 

          เครื่องหมายคั่น

          เครื่องหมายคั่น ( ٠) ใช้คั่นแบ่งเดือนกับวัน ชื่อหนังสือกับชื่อบท หรือชื่อกับนามสกุลของคนชาติอื่นที่ไม่ใช่คนจีน เช่น

          ٠ 一一恐怖事件。

          กรณีการก่อการร้ายเมื่อวันที่ 11 กันยายน (2001)

马克٠ 吐温。

          มาร์ค ทเวน

 

 อ้างอิงจาก    หนังสือ “หลักไวยากรณ์จีน ฉบับศึกษาด้วยตนเอง”-อดุลย์ รัตนมั่นเกษม

 

เครื่องหมายไข่ปลา (省略号) article

 

          ในภาษาจีนใช้เครื่องหมายไข่ปลาหรือจุดประ (······) เพื่อละข้อความที่ไม่ต้องการเขียนถึง ทำหน้าที่คล้ายเครื่องหมายไปยาลน้อย (ฯ) และไปยาลใหญ่(ฯลฯ) ในภาษาไทย เครื่องหมายนี้มีจุดไข่ปลา 6 จุด ประมาณสองตัวอักษรจีน และขีดอยู่ในแนวกึ่งกลางตัวอักษรพอดี

          ในกรณีที่ต้องการอ้างอิงข้อความบางส่วนจากข้อความที่ยาวมาก ๆ จะใช้เครื่องหมายนี้ละข้อความส่วนที่เหลือไว้ และถ้าข้อความที่ละนั้นยาวเกินกว่าหนึ่งย่อหน้า ให้ใช้จุดประทั้งสิ้น 12 จุด และต้องขึ้นบรรทัดใหม่ด้วย  

          เครื่องหมายนี้ยังใช้แสดงการขาดช่วงของคำพูด เพื่อแสดงให้รู้ว่ายังมีความหมายต่อไปอีก หรือแสดงถึงอาการนิ่งเงียบของอีกฝ่าย และจะใช้กรณีนี้ได้ก็ต่อเมื่อเนื้อความเป็นบริบทที่เกี่ยวข้องด้วยเท่านั้น ซึ่งจะขอละไว้เพียงเท่านี้ไม่ยกตัวอย่างประกอบ ส่วนวิธีใช้ที่นิยมกันมาก เช่น

          动物园里有大象,狮子,老虎,猴子······ ,动物多得数不清。

         ในสวนสัตว์มีช้าง สิงโต เสือ ลิง ฯลฯ มีสัตว์มากมายจนนับไม่ถ้วน

公园里的鲜花开遍了,红的,紫的,黄的······,看得眼睛也花了。

         ดอกไม้บานทั่วสวนแล้ว มีสีแดง สีม่วง สีเหลือง ฯลฯ ดูละลานตาไปหมด

 

          การใช้เครื่องหมายนี้มีข้อพึงระวังอยู่ 2 ข้อคือ

1.    ต้องใช้ละข้อความอย่างเหมาะสม ไม่ใช้พร่ำเพรื่อและเมื่อละข้อความนั้น ๆ แล้ว จะไม่ทำให้ใจความเสียไป

2.    ต้องรู้ให้แน่ชัดว่าจะต้องใช้เครื่องหมายอื่น เช่น จุดมหัพภาค จุดจุลภาค ฯลฯ ทั้งก่อนและหลังการใช้เครื่องหมายจุดประนี้หรือไม่ โดยทั่วไปคือ ถ้าประโยคที่อยู่หน้าเครื่องหมายจุดประเป็นประโยคสมบูรณ์ ก็ยังคงต้องใช้เครื่องหมายมหัพภาค แต่ถ้าไม่ใช่ประโยคสมบูรณ์ ก็จะไม่ใช้เครื่องหมายใด ๆ  แม้ว่าประโยคนั้น ๆ อาจใช้เครื่องหมายจุลภาคได้ แต่ก็จะไม่ใช้ ดังตัวอย่างที่ยกมาข้างต้นนี้ทั้งสองตัวอย่าง ส่วนหลังเครื่องหมายจุดประ จะใช้เครื่องหมายมหัพภาคจุลภาคหรือไม่ต้องขึ้นอยู่กับเนื้อหาของข้อความนั้น

 

 อ้างอิงจาก    หนังสือ “หลักไวยากรณ์จีน ฉบับศึกษาด้วยตนเอง”-อดุลย์ รัตนมั่นเกษม

เครื่องหมายเส้นคั่นยาว (破折号) article

 

        เครื่องหมายเส้นคั่นยาว() ใช้เพื่อบอกว่า ข้อความต่อไปนี้เป็นการอธิบายเพิ่มเติม หรือการเสริมความหมายเครื่องหมายนี้จะยาวเท่ากับสองตัวอักษรจีน และขีดอยู่ในระดับกึ่งกลางตัวอักษรพอดี วิธีใช้เครื่องหมายเส้นคั่นยาวมีดังนี้

1.   แสดงให้รู้ว่าข้อความต่อไปนี้เป็นคำอธิบายเชิงหมายเหตุหรือความหมายเพิ่มเติม เช่น

 

中国清代出现了一个杰出的文学家,他就是《红楼梦》的作者曹雪芹。

จีนสมัยราชวงศ์ชิง มีนักประพันธ์ดีเด่นคนหนึ่ง เขาก็คือ เฉาเสวี่ยฉิน ผู้ประพันธ์นิยายเรื่อง “ความฝันในหอแดง”

 

2.   แสดงให้รู้ว่าประเด็นเปลี่ยนไปแล้ว เช่น

 

我也知道补过的方法:送他风筝,赞成他放,劝他放,我和他一起放。我们嚷着,跑着,笑着。然而他其时,已经和我一样,早已有了胡子了。

ฉันก็รู้วิธีชดเชยข้อบ่กพร่องเหมือนกัน ให้ว่าวแก่เค้า สนับสนุนให้เค้าเล่น ยุให้เค้าเล่น ฉันกับเค้าเล่นว่าวด้วยกัน เราทั้งร้อง ทั้งวิ่ง และหัวร่อกัน— ทว่าเวลานั้น เค้าก็เหมือนฉันนั้นแหละ ต่างมีหนวดเครามานานแล้ว

 

3.   แสดงให้รู้ถึงการเสริมความหมาย เช่น

 

思维活动的形式是:概念 判断 推理。

รูปแบบการคิดคือ มโนภาพ วินิจฉัย อนุมาน

 

4.   แสดงให้เห็นว่าต้องการเน้นเสียงยาว เช่น

 

“呜 气笛声响遍了海港。

“หวูด....หวูด...” เสียงหวูดดังไปทั่วท่าเรือ

 

5.   แสดงให้รู้ช่วงเวลาหรือระยะทางระหว่างสถานที่ เช่น

 

杜甫 (公元712—770年)

ตู้ฝู่ (ค.ศ.712-770)

香港曼谷

ฮ่องกง กรุงเทพฯ

 อ้างอิงจาก    หนังสือ “หลักไวยากรณ์จีน ฉบับศึกษาด้วยตนเอง”-อดุลย์ รัตนมั่นเกษม

เครื่องหมายนขลิขิต (括号 kuò hào) article

 

          เครื่องหมายนขลิขิตหรือเครื่องหมายวงเล็บ () จะใช้กับข้อความที่เป็นคำอธิบายเพิ่มเติมที่อยู่นอกเหนือไปจากเนื้อหาหลัก ซึ่งถ้าเราเอาคำอธิบายส่วนนี้เขียนปนเข้าไปกับเนื้อหาหลัก ก็อาจทำให้เนื้อความขาดความต่อเนื่อง ดังนั้น การใส่คำอธิบายไว้ในเครื่องหมายวงเล็บ จึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด การให้คำอธิบายนั้น อาจทำไว้เพื่ออธิบายความหมายของศัพท์ เสริมใจความที่เขียนไว้แล้ว บอกให้รู้ที่มาของข้อความนั้น เท้าความเป็นมา หรือเป็นหมายเหตุความเห็นของผู้เรียบเรียงก็ได้

          กรณีที่มักใช้เครื่องหมายวงเล็บมีดังนี้

1.   ใช้อธิบายความหมายศัพท์ เช่น

 

中国古代的四大发明(指南针,火药,造纸,印刷木)对现代文明贡献很大。

สิ่งประดิษฐ์สำคัญ 4 อย่าง (เข็มทิศ ดินปืน การทำกระดาษ และการพิมพ์) ในสมัยโบราณของจีน มีคุณูปการต่ออารยธรรมสมัยใหม่มาก

 

2.   ใช้อธิบายเนื้อความเพิ่มเติม เช่น

 

一直他的消息(至今还没有),我会尽快通知您的。

ถ้าได้ข่าวเขาเมื่อใด(จนถึงตอนนี้ยังไม่มี) ฉันจะรีบแจ้งให้คุณทราบทันที

 

3.   ใช้บอกที่มาของข้อความ เช่น

 

真的猛士,敢于直面惨淡的人生,敢于正视淋淋的鲜血。(鲁迅:《纪念刘和珍君》)

คนกล้าที่แท้จริง จะกล้าเผชิญหน้าโดยตรงกับชีวิตที่สิ้นหวัง กล้ามองดูเลือดสด ๆ ที่หลั่งริน ( “รำลึกท่านหลิวเหอเจิน” โดยหลู่ซวิ่น)

 อ้างอิงจาก    หนังสือ “หลักไวยากรณ์จีน ฉบับศึกษาด้วยตนเอง”-อดุลย์ รัตนมั่นเกษม

เครื่องหมายอัญประกาศ (引号) article

 

 

          เครื่องหมายอัญประกาศในภาษาจีน แตกต่างจากภาษาไทย เพราะไม่เพียงมีอัญประกาศคู่และอัญประกาศเดี่ยว(“ ”     )เช่น ในภาษาไทยแล้ว ยังมีอัญประกาศเดี่ยวมุมฉากกับอัญประกาศคู่มุมฉาก ( [ ] และ ) อีกด้วย

          อัญประกาศทั้งสองแบบนี้ใช้งานในลักษณะเดียวกันเพียงแต่อัญประกาศคู่และอัญประกาศเดี่ยว(“ ”     ) จะใช้กับการเขียนในแนวนอนหรือแนวราบ ขณะที่อัญประกาศเดี่ยวมุมฉากกับอัญประกาศคู่มุมฉาก ( [ ] และ ) จะใช้กับการเขียนในแนวตั้งหรือแนวดิ่ง

          ในกรณีเขียนตามแนวตั้ง จะใช้เครื่องหมายอัญประกาศเดี่ยวมุมฉาก ( [ ] ) เสมอ และถ้าต้องใช้เครื่องหมายอัญประกาศซ้ำซ้อนกัน ก็มักวางอัญประกาศเดี่ยวไว้ข้างนอกและอัญประกาศคู่ไว้ข้างใน

          ส่วนกรณีเขียนตามแนวนอน จะใช้เครื่องหมายอัญประกาศคู่ (“ ” ) เสมอ และถ้าต้องใช้เครื่องหมายอัญประกาศซ้ำซ้อนกัน ก็มักวางอัญประกาศคู่ไว้ข้างนอก และอัญประกาศเดี่ยวไว้ข้างใน

          ดังนั้นเมื่อใช้งานจริง จึงมีวิธีใช้ด้วยกัน 3 วิธี คือ

1.   ใช้กับข้อความที่อ้างอิงถึง เช่น

 

鲁迅说过这样意味深长的话:“地上本没有路,走的人多了,也便成了路。”

หลู่ซวิ่นเคยพูดไว้อย่างน่าคิดทีเดียวว่า “เดิมทีบนพื้นดินไม่มีทาง(ถนน) พอคนเดินมากเข้า ก็กลายเป็นทาง(ถนน)ขึ้นมา”

 

ถ้าข้อความที่อ้างอิงมีหลายย่อหน้า โดยทั่วไปจะใช้เครื่องหมายอัญประกาศเปิดไว้เฉพาะข้างหน้าของย่อหน้านั้น  ๆเท่านั้น ไม่ต้องใส่เครื่องหมายอัญประกาศไว้ที่ทุกท้ายย่อหน้าแต่อย่างใด ใส่ไว้ที่ท้ายย่อหน้าสุดท้ายก็พอ เช่น

 

      “然而刹那间,要是你猛抬眼看见了前面远远的有一排--不,或者只是三五株,一株,傲然耸立,像哨兵似的树木的话,那你的昏昏欲睡的情绪有将如何?我那时是惊奇地叫了一声!

          “那就是白杨树,西北极普通的一种树,然而实在不是平凡的一种树!”

          “และแล้วในห้วงเวลานั้น หากเธอเงยหน้ามองไกลออกไปข้างหน้า จะเห็นต้นไม้เรียงเป็นแนว—ไม่ใช่ บางทีอาจมีแค่3-5ต้น หรือต้นเดียว ยืนตระหง่านเหมือนทหารรักษาการณ์อารมณ์ที่กำลังง่วงเหงาของเธอจะเป็นอย่างไรหนอ แต่ตอนนั้นฉันตื่นตะลึงจนร้องออกมา

          “นั้นไง ต้นไป๋หยาง ต้นไม้ที่แสนจะธรรมดาในภาคตะวันตกเฉียงเหนือ หากแต่จริง ๆ แล้วมันมิใช่ต้นไม้ธรรมดาเลย”

 

2.    ใช้กับข้อความที่เป็นคำพูด เช่น

 

“世界最高峰叫什么?”老师提问。

“ยอดเขาที่สูงที่สุดในโลกชื่ออะไร” ครูเอ่ยถาม

 

“珠穆朗玛峰”最先举手的那个学生抢着回答。

“ยอดเขาเอเวอเรสต์” นักเรียนที่ยกมือก่อนใครคนนั้นชิงตอบ

 

3.   ใช้กับข้อความที่เน้นความหมายเป็นกรณีพิเศษ

 

杀人无罪,这就是“公里”!

ฆาตกรไม่มีความผิด นี่แหละคือ “ความยุติธรรม”

 

 

 อ้างอิงจาก    หนังสือหลักไวยากรณ์จีน ฉบับศึกษาด้วยตนเอง”-อดุลย์ รัตนมั่นเกษม

การใช้เครื่องหมายปรัศนี (问号 wèn hào เวิ่นห้าว) article

เครื่องหมายปรัศนี หรือเครื่องหมายคำถาม (?) ทำหน้าที่ 2 กรณีคือ

1.    ผู้ถามต้องการคำตอบหรือคำยืนยันการคาดคะเนของตน เครื่องหมายนี้จะบอกให้รู้ว่าประโยคที่ถามนั้นถามจบแล้ว

2.    ผู้ถามถามโดยปราศจากข้อกังขาสงสัย ซึ่งจะถามในลักษณะย้อนถามหรือตั้งประเด็นถาม

 

อย่างไรก็ดี ประโยคที่ใช้เครื่องหมายปรัศนี จะมีน้ำเสียงสงสัยหรือกังขาเสมอ เช่น

          谁在外边吵闹?(ไต่ถาม)

          ใครสงเสียงเอะอะอยู่ข้างนอก

他的病好了吗?(ไต่ถาม)

          เค้าหายป่วยแล้วหรือยัง

人都到齐了吧?(ไต่ถาม)

          ทุกคนมากันครบแล้วหรือ

你怎么怪她?(ย้อนถาม)

          เธอไปโทษหล่อนทำไม

毕业是不是意味着学习上的终结呢?不是,在学校以外,还有许多东西需要我们去学习。(ตั้งประเด็นถาม)

          การเรียนจบหมายถึงการสิ้นสุดของการศึกษาใช่ไหม ไม่ใช่ นอกจากโรงเรียนยังมีอะไรอีกมากมายที่ต้องการให้เราไปเรียนรู้

          ปกติแล้ว เราจะวางเครื่องหมายปรัศนีไว้ที่ท้ายประโยคคำถาม แต่ในกรณีที่ประโยคคำถามนั้น เป็นอเนกรรถประโยค แม้ว่าอนุประโยคที่อยู่ข้างในจะเป็นคำถาม แต่ก็คั่นด้วยเครื่องหมายจุลภาค ไม่ใช่เครื่องหมายปรัศนี โดยเครื่องหมายปรัศนีจะอยู่ท้ายประโยคเสมอ ตัวอย่าง เช่น

我们去找他,还是请他来?

          เราจะไปหาเค้า หรือเชิญเค้ามา

          แต่ก็มีบ้างเหมือนกันที่ใช้เครื่องหมายปรัศนีคั่นระหว่างอนุประโยคเหล่านี้ แต่ต้องเป็นกรณีที่ต้องการย้ำเน้นเป็นพิเศษเท่านั้น

 

อ้างอิงจาก    หนังสือหลักไวยากรณ์จีน ฉบับศึกษาด้วยตนเอง”-อดุลย์ รัตนมั่นเกษม

 

 

 

เครื่องหมายจุดคู่ (冒号 màohào) article

เครื่องหมายจุดคู่()ใช้ในสองกรณีคือ

1วางไว้หลังคำบอกแนะ เพื่อแสดงว่า ต่อไปนี้เป็นใจความสำคัญ

2วางไว้หน้าคำอธิบายหรือคำสรุป เพื่อแสดงถึงการสรุปใจความในข้อความข้างต้น

ตัวอย่างประโยคในกรณีที่ 1 เช่น

          鲁迅有这样的诗句:横眉冷对千夫指,俯首甘为孺子牛。

          หลู่ซวิ้นเขียนกวีนิพนธ์ไว้เช่นนี้ว่า จงขวางคิ้วเย็นเฉยต่อคนหยัน ก้มหัวพลันเป็นงัวงาน

         ให้มวลชน

 

          中国的五岳是:东岳泰山、西岳华山、北岳恒山、中岳嵩山,南衡山。

          เทือกเขาใหญ่ทั้งห้าของประเทศจีนคือ เทือกเขาไท่ซานทางภาคตะวันออก เทือกเขา

          หัวซานทางภาคตะวันตก เทือกเขาหึงซานทางภาคเหนือ เทือกเขาซงซานทางภาค

          กลาง และเทือกเขาเหิงซานทางภาคใต้

 

我对他说:“谢谢你了”。

          ผมพูดกับเขาว่า ขอบคุณครับ

 

ตัวอย่างประโยคในกรณีที่ 2 เช่น

          直到十几天后,这才陆续地知道她家里还有严厉的婆婆,一个小叔子,十多岁,能打柴了;她是春天没了丈夫的,他本来也打柴为生,比她小十岁:大家知道的就只是这一点。

          จนกระทั่งสิบกว่าวันให้หลัง จึงทยอยรู้กันว่า ในบ้านของเธอยังมีแม่สามีที่เข้มงวด และน้องชายสามีอีกคน อายุสิบกว่าขวบ ตัดไม้หาฟืนได้แล้ว เธอเสียสามีไปเมื่อฤดูใบไม้ผลิ สามีเธอก็มีอาชีพตัดไม้หาฟืนเหมือนกัน อายุอ่อนกว่าเธอสิบปี เรื่องที่ทุกคนรู้กันก็มีแค่นี้เอง

          เครื่องหมายจุดคู่ยังแสดงถึงการเว้นวรรคที่ค่อนข้างกว้างของประโยคด้วย แต่ต้องใส่ใจไว้ว่า ถ้าใจความที่อยู่หลังคำบอกแนะ อ่านแล้วรู้สึกว่าสั้นมาก ก็ไม่ต้องเว้นวรรคและใช้เครื่องหมายจุดคู่โดยไม่จำเป็น  

 

 

อ้างอิงจาก    หนังสือ “หลักไวยากรณ์จีน ฉบับศึกษาด้วยตนเอง”-อดุลย์ รัตนมั่นเกษม
เครื่องหมายอัฒภาค (分号 fēn hào) article

เครื่องหมายอัฒภาค(分号 fēn hào) เป็นเครื่องหมายคั่นอีกชนิดหนึ่ง ที่มีรูปสัญลักษณ์ () ใช้คั่นระหว่างอนุประโยคที่เรียงต่อเนื่องกัน เพื่อเว้นวรรคให้กว้างกว่าเครื่องหมายจุลภาค(逗号 dòu hào)  แต่จะแคบกว่าเครื่องหมายมหัพภาค(句号 jù hào) เช่น

          山上没有一株树,似乎太单调了;山下却没有无数的竹林和丛薮。

          บนเขาไม่มีต้นไม้สักต้น ดูไม่สดใสเอาเสียเลย แต่เชิงเขากลับมีป่าไผ่และพุ่มไม้มากมาย

          上课的时候,他很用心听讲;下课后,他就没法坐得住了。

          ในเวลาเรียน เขาตั้งใจฟังมาก พอเลิกเรียน เขาก็นั่งไม่ติดเสียแล้ว

      白杨树不是平凡的树,它在西北极普遍,不被重视,就跟北方的农民相似;它有极强的生命力,磨折不了,压迫不到,也跟北方的农民相似。

          ต้นไป๋หยางไม่ใช่ต้นไม้ธรรมดา มีอยู่ทั่วไปทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือ จึงไม่มีใครให้ความสำคัญ ซึ่งคล้ายคลึงกับชาวนาทางภาคเหนือ มัน(เป็นพืชที่)มีความทนทานมาก ทนต่อสภาพอากาศที่เลวร้าย ซึ่งก็คล้ายกับชาวนาในภาคเหนืออีกนั้นแหละ

          การใช้เครื่องหมายอัฒภาคคั่นระหว่างอนุประโยค มักใช้กับอนุประโยคสั้น ๆ เท่านั้น แต่ถ้าอนุประโยคนั้นค่อนข้างยาว ก็มักใช้เครื่องหมายจุลภาค(逗号 dòu hào)  กันอยู่แล้ว จึงจำเป็นต้องใช้เครื่องหมายอัฒภาคคั่นระหว่างอนุประโยคที่สั้น เพื่อลำดับประโยคให้ชัดเจนและเข้าใจง่ายขึ้น

          บางครั้ง เราก็ใช้เครื่องหมายอัฒภาคที่ท้ายวลีหรืออนุประโยคแสดงลำดับหัวข้อ เพื่อให้รู้ว่าต้องการเว้นวรรคกว้างกว่าการใช้เครื่องหมายจุลภาค

 

อ้างอิงจาก    หนังสือ “หลักไวยากรณ์จีน ฉบับศึกษาด้วยตนเอง”-อดุลย์ รัตนมั่นเกษม
เตรื่องหมายจุดคั่น (顿号dùn hào) article

จุดคั่น (顿号dùn hào) มีรูปสัญลักษณ์คือ ( )ใช้เพื่อคั่นคำหรือวลีที่เรียงต่อเนื่องกัน เป็นการเว้นจังหวะที่แคบกว่าเครื่องหมายจุลภาค เช่น

          桃花、杏花、李花都相续地开了。

          ดอกท้อ ดอกเห็ง และดอกไหน ต่างทยอยบานแล้ว

          马路两旁是簇新的、整齐的楼房。

          สองข้างถนนคือตึกแถวใหม่เรียงรายเป็นระเบียบเรียบร้อย

家禽有鸟、鸡、鹅等。

          สัตว์ปีกที่เลี้ยงไว้ มีไก่ เป็ด ห่าน เป็นต้น

          การเว้นวรรคหรือเว้นจังหวะของคำหรือวลีนั้น บางครั้งก็ใช้เครื่องหมายจุลภาคด้วย ข้อแตกต่างของการใช้เครื่องหมายสองอย่างนี้คือ จุดคั่นจะใช้ในกรณีที่คำหรือวลีที่เรียงต่อเนื่องกันนั้นมีไม่มากนัก และไม่ต้องการเน้นมาก แต่ถ้ามีคำหรือวลีหลายคำมากหรือต้องการเน้นเป็นกรณีพิเศษ ก็ให้ใช้เครื่องหมายจุลภาคแทน

 

 

อ้างอิงจาก    หนังสือ “หลักไวยากรณ์จีน ฉบับศึกษาด้วยตนเอง”-อดุลย์ รัตนมั่นเกษม
เครื่องหมายจุลภาค (逗号 dòu hào) article

     เครื่องหมายจุลภาค หรือ จุดลูกน้ำ มีรูปสัญลักษณ์ ( , ) ใช้เพื่อคั่นจังหวะในประโยค เราจำเป็นต้องเว้นวรรคประโยคในส่วนที่เกี่ยวข้องกับมาลาในประโยคและโครงสร้างของประโยคซึ่งมีวิธีเว้นวรรคหลายวิธี เช่น

1.   กรณีที่ภาคประธานยาวมาก เช่น

 

以全部力量投入建设的工人们不分昼夜的工作。

คนงานทั้งหลายที่ทุ่มเท กำลังทั้งหมดในการสร้างสรรค์ต่างทำงานกันอย่างหามรุ่งหามค่ำ

 

2.   กรณีที่ต้องการเน้นส่วนของภาคประธาน เช่น

 

惨象,以使我目不忍视了;流言尤使我耳不忍闻。

ภาพอันน่าสลด ทำให้ฉันทนดูไม่ได้ เสียงเล่าลือ ยิ่งทำให้ฉันทนฟังไม่ได้

 

3.   กรณีเรียกขานใครสักคน เช่น

 

老师这个字怎么念?

อาจารย์ครับ คำนี้อ่านอย่างไรครับ

 

4.   กรณีที่ต้องการเน้นความหมายระหว่างคำหรือวลีที่เรียงต่อกัน เช่น

 

我们嚷着跑着笑着。

พวกเราทั้งร้องตะโกน ทั้งกระโดดโลดเต้น และหัวเราะกันไป

 

5.   กรณีที่ต้องการเว้นวรรคอนุประโยคในอเนกรรถประโยค เช่น

 

雨不但没有停而且越下越大。

ฝนไม่เพียงตกไม่หยุด ยังตกหนักยิ่งขึ้นด้วย

 

อ้างอิงจาก    หนังสือ “หลักไวยากรณ์จีน ฉบับศึกษาด้วยตนเอง”-อดุลย์ รัตนมั่นเกษม

การใช้เครื่องหมายมหัพภาค (句号 jù hào จวี้ห้าว) article

เครื่องหมายมหัพภาค (จุดจบประโยค) มีรูปสัญลักษณ์ () ใช้เพื่อแสดงให้รู้ว่า ประโยคนั้นจบแล้ว มักใช้กับประโยคบอกเล่าและประโยคคำสั่งที่น้ำเสียงค่อนข้างนุ่มนวล เช่น

          我是泰国人。ฉันเป็นคนไทย

          你过来吧。   คุณมานี่สิ

          ตัวอย่างข้างต้นเป็นเอกรรถประโยคที่เข้าใจง่าย แต่ในภาษาเขียน จะต้องรู้ว่าตรงไหนควรหรือไม่ควรใช้เครื่องหมายมหัพภาค จึงไม่ควรใช้เครื่องหมายมหัพภาคแบบเดาส่ง ข้อสำคัญคือต้องดูว่า ความหมายในประโยคนั้นจบลงโดยสมบูรณ์ครบถ้วนหรือไม่ การใช้เครื่องหมายมหัพภาคในประโยคที่ควรใช้ จะช่วยให้เข้าใจความหมายในประโยคได้กระจ่างชัดขึ้น ความเรียงต่อไปนี้คือตัวอย่างการใช้เครื่องหมายมหัพภาคได้อย่างเหมาะสม

          我们满满地走进公园。一进门就看见浓艳的热带花卉,和碧绿的热带树木。公园很大,而且布置得很好,有河,有桥,有亭,有石,有花,有草,有禽,有兽,还有其他的。

          พวกเราเดินทอดน่องเข้าไปในสวนสาธารณะ พอเข้าประตูก็เห็นไม้ดอกแสนสวยและต้นไม้เขียวชอุ่มของเขตร้อน สวนกว้างมาก และจัดแต่งได้ดีเยี่ยม มีลำธาร ศาลา ก้อนหิน ดอกไม้ หญ้า สัตว์ปีก สัตว์สี่เท้า และอื่น ๆ

          ขอให้สังเกตดูว่า ข้อความข้างต้นนี้ตรงไหนบ้างที่ใช้เครื่องหมายมหัพภาค ทำไมจึงใช้ และถ้าไม่ใช้แล้ว จะให้ผลลัพธ์ต่างกันอย่างไร

          ในการเขียนความเรียง การไม่กล้าใช้เครื่องหมายมหัพภาคหรือใช้พร่ำเพรื่อเกินไป อาจส่งผลต่อการสื่อความหมายของภาษาได้

          บางคนไม่ค่อยกล้าใช้เครื่องหมายมหัพภาค เพราะรู้สึกว่า ความหมายในประโยคนั้น ร้อยเรียงต่อกันไปตลอด ไม่น่าจะใช้เครื่องหมายนี้มาคั่นให้เสียความ ซึ่งเป็นการเข้าใจผิดอย่างยิ่ง แม้ว่าความหมายแต่ละประโยคในความเรียงแต่ละบท จะร้อยเรียงต่อกันจริง แต่ถ้าเราอ้างเหตุผลนี้ เพื่อที่จะไม่ใช้เครื่องหมายมหัพภาค ก็คงไม่ถูกต้องนัก เพราะจะทำให้สับสนในการสื่อความหมาย เราอาจใช้เครื่องหมายมหัพภาคตรงส่วนที่ได้หนึ่งใจความ หรือส่วนต่อที่ค่อนข้างหลวม การทำอย่างนี้จะไม่ทำให้ใจความขาดตอนไปแน่นอน

          อีกกรณีคือ ใช้เครื่องหมายมหัพภาคพร่ำเพรื่อ ซึ่งจะทำให้ใจความถูกแบ่งออกเป็นท่อน ๆ จนยากที่จะสื่อความหมายให้ครบถ้วนสมบูรณ์ได้ จะใช้หรือไม่ใช้เครื่องหมายมหัพภาค จึงไม่ได้ดูกันที่ความยาวของประโยค เพราะบางประโยคอาจยาวมาก เพื่อสื่อความหมายที่ค่อนข้างซับซ้อน ซึ่งเราไม่ควรใช้เครื่องหมายมหัพภาคแบ่งคั่น ตัวอย่างเช่น

          那象真是一个庞然的蠢东西。皮色是灰色,走起路来有些不方便。我们抛了两个铜子进去,它听见声音,便慢慢儿地走了过来,用它的长鼻子放在地上东闻西嗅,找到了铜子,便卷起来放在口里这衔着,又来找第二个。

          ช้างเป็นสัตว์ตัวใหญ่มาก ผิวหนังสีเทา เดินไม่คล่องแคล่วนัก เราโยนเหรียญสตางค์สองอันเข้าไป มันได้ยินเสียงก็ค่อย ๆ เดินเข้ามา ใช้งวงยาวมาดมไปตามพื้น หาจนพบจึงใช้งวงหยิบเหรียญใส่ปาก แล้วหาเหรียญที่สองต่อไป

          ความเรียงข้างต้น มีประโยคอยู่ด้วยกัน 3 ประโยค ประโยคที่ 1 และ 2 สั้นมาก ส่วนประโยคหลังยาวมาก

 

อ้างอิงจาก    หนังสือ “หลักไวยากรณ์จีน ฉบับศึกษาด้วยตนเอง”-อดุลย์ รัตนมั่นเกษม

หน้า 1/1
1
[Go to top]



Copyright © 2010 All Rights Reserved.
http://www.k79exchange.com/